วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561
ใบงานที่ 5 บทความ
How to รักษาสิว
12 วิธีรักษาสิวอักเสบ แบบธรรมชาติ อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
12 วิธีรักษาสิวอักเสบ แบบธรรมชาติ อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บุคลิกภาพที่ดีเป็นภาพลักษณ์ภายนอกและจุดเริ่มต้นของความมั่นใจในการพบปะผู้คน รวมถึงการใช้ชีวิตในสังคมทั้งหน้าที่การงานและประสบการณ์ต่างๆ
แต่ถ้าผิวหน้าของเรานั้นไม่สดใส เต็มไปด้วยสิวอักเสบ สิวหนอง และรอยแผลเป็นจากสิว ก็จะยิ่งลดทอนความมั่นใจจนอาจจะทำให้เสียโอกาสดีๆ ในชีวิตไปเลยทีเดียว — วิธีรักษาสิวอักเสบ
อุปสรรคที่เกิดจากสิวอักเสบหรือสิวหนอง
สิวอักเสบ ที่บวมแดงและมีหนองจะมีลักษณะเป็นรอยแดงช้ำ ซึ่งในผู้ชายที่เป็นสิวอักเสบจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจากไม่มีเครื่องสำอางมาปกปิดนั่นเอง สำหรับผู้หญิงที่ถึงแม้ว่าจะแต่งหน้าปกปิดได้ก็ตาม แต่การเมคอัพเพื่อกลบรอยสิวก็ยิ่งทำให้สิวเห่อและลุกลามหนักกว่าเดิม
2 สาเหตุการเกิดสิวอักเสบ
สาเหตุการเกิดสิวอักเสบ จริงๆ แล้วสิวอักเสบก็เกิดมาจากสิวทั่วไป เพียงแต่มีการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ จึงทำให้สิวธรรมดาๆ มีอาการบวมแดงและอักเสบเป็นหนอง โดยสาเหตุหลักๆ นั้นมี 2 ประการ ดังนี้
1 . เกิดจากมือของเรา เพราะอาการคันไม้คันมือที่ชอบบีบ แคะ แกะ เกา ทั้งสิวชนิดมีหัวหรือไม่มีหัวก็ตาม จึงทำให้หัวสิวแตกและเกิดการรั่วของคอมีโดน (Comedone) ก่อให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococci / Streptococci
2 . เกิดจากเชื้อประจำถิ่น เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีว่า Propionibacterium acnes หรือ Acnes นั่นเอง โดยจะกินไขมันบนผิวหน้าของเราเป็นอาหารและสามารถเจริญเติบโตได้ดี หากมีการอุดตันของไขมันที่ก่อให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง จากนั้นจึงสร้างเอนไซม์ที่เปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) ซึ่งก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
5 ประเภทของสิวอักเสบ
1 . สิวเสี้ยน (Trichostasis spinulosa) คือ การอุดตันของกลุ่มขนอ่อน (Vellus hair) ที่อยู่ในรูขุมขน ซึ่งอาจจะพบแค่เพียงเส้นเดียวหรือหลายเส้นก็ได้ มักจะเกิดบริเวณจมูก คาง และหลัง
2 . สิวชนิดตุ่มนูนแดง (Papule) เป็นการอักเสบแค่ส่วนบนของผิวหนังเท่านั้น
3 . สิวชนิดหัวหนอง (Pustule) มีทั้งชนิดที่อยู่บนผิวหนังชั้นตื้นและที่อยู่ลึกลงมา ซึ่งถ้าเป็นหนองบนผิวหนังชั้นตื้นๆ จะสามารถรักษาให้หายได้รวดเร็วกว่าสิวชนิดตุ่มนูนแดง
4 . สิวอักเสบและเป็นก้อนลึก (Nodule) เป็นสิวอักเสบชนิดที่อยู่ลึกลงไปและเป็นก้อนบวม มักจะใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนานและทำให้เกิดแผลเป็นได้ง่าย
5 . สิวชนิดเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง (Cyst) รู้จักกันในชื่อ “สิวหัวช้าง” และก่อให้เกิดรอยแผลเป็นขนาดใหญ่
3 การรักษาสิวอักเสบ
หลักการรักษาสิวอักเสบก็คือ เราจะต้องเอาหัวหนองออกให้หมด จากนั้นจึงค่อยดูแลรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะหรือทายาภายนอก โดยการรักษาสิวอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ
1 . สิวเป็นไต มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและแข็ง เมื่อกดหรือสัมผัสจะรู้สึกเจ็บแต่ว่าไม่มีหัวหนอง เวลาล้างหน้าแล้วมือไปโดนนั้นเจ็บมาก ก่อให้เกิดความรำคาญและรักษาหายช้า อีกทั้งยังเห็นเป็นรอยนูนแดงชัดเจน สำหรับวิธีการรักษาคือให้แต้มยาทาสิวหรือสมุนไพรสำหรับทาสิวเพื่อลดการอักเสบ สิวจะค่อยๆ ยุบลงไปโดยไม่มีหัวหนอง แต่จะต้องใช้เวลานานพอสมควร
2 . มีหัวหนองและหัวสิวยังไม่สุก วิธีการรักษาที่ดีที่สุดในระยะนี้คือ ควรกระตุ้นให้หัวสิวสุกโดยเร็วที่สุด เพราะเราจะต้องเอาหนองออกมาให้หมด แต่เพื่อเป็นการป้องกันเกิดรอยแผลเป็น ควรจะต้องเอาหนองออกในช่วงเวลาที่สิวสุก ด้วยการออกกำลังกายให้ร่างกายของเราเกิดความร้อน
ซึ่งจะช่วยเร่งให้สิวสุกเป็นหนองเร็วมากขึ้น และเมื่อสิวสุกแล้วควรกดเอาหนองออกให้หมด จากนั้นใช้ครีมแต้มสิวทาบ่อยๆ ก็จะเริ่มตกสะเก็ดแล้วค่อยแต้มด้วยครีมลดรอยแผลเป็นจากสิว ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่าการกดสิวจะต้องทำในช่วงที่สิวสุกเท่านั้น มิเช่นนั้นจะเกิดสิวหัวหนองซ้ำที่บริเวณเดิมๆ
3 . สิวสุก เราสามารถเจาะเอาหัวหนองออกให้หมดในระยะนี้ได้ ซึ่งสิวจะหายไปเองโดยไม่เกิดการติดเชื้อ หรืออาจจะทาครีมแต้มสิวและครีมลดรอย เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นในระยะยาว
วิธีป้องกันสิวอักเสบเบื้องต้น
1 . เลิกสัมผัสใบหน้าด้วยมือ เราต้องเลิกแคะ แกะ หรือเกาบนใบหน้าด้วยมือเสียที เนื่องจากมือของเราที่สัมผัสผิวหน้ามักจะมีสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียที่มองไม่เห็น ซึ่งถ้าหากมีสิวอยู่แล้วก็อาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่หัวสิวแล้วพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้
2 . หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมบางชนิด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Olive oil และ Lanolin หรือมีส่วนประกอบของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้
3 . ล้างหน้าให้สะอาด เป็นการทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่คั่งค้างหรืออุดตันในรูขุมขนออกให้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการล้างหน้าบ่อยๆ เท่านั้น แต่ต้องล้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจะช่วยขับของเสียและน้ำมันที่ตกค้างบนผิวหน้าไม่ให้อุดตันจนกลายเป็นสิว
4 . เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักและไม่ก่อให้เกิดสิว ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าประเภท Water – based หรือ Oil – free จะเหมาะกับผิวที่เป็นสิวมากกว่า เพราะผิวหน้าของเราต้องการความชุ่มชื้นมากกว่า เพื่อเป็นการสร้างความยืดหยุ่นเต่งตึงให้กับผิวพรรณ และไม่ก่อให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย (Non – Comedogence)
5 . การมาส์กหน้าด้วยสมุนไพร เป็นการรักษาสิวอักเสบด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ โดยให้ประสิทธิภาพในการรักษาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน ดังนั้นเราจึงควรเลือกสูตรมาส์กหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเองด้วยสมุนไพรรักษาสิว
สมุนไพรรักษาสิว
1 . เปลือกมังคุด โดยใช้เปลือกมังคุดมาคั้นเอาแต่น้ำสีม่วง จากนั้นผสมกับดินสอพองที่บดเป็นผงแล้ว ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันจนเหนียวพอสมควร จากนั้นใช้แต้มที่สิวอักเสบ หรืออาจจะใช้วิธีปั่นหรือตำเปลือกมังคุดที่ใส่น้ำอุ่นลงไปเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำสีม่วงแล้วป้ายลงบนสิวอักเสบโดยตรง วิธีนี้เราสามารถทำได้ทุกวันในช่วงที่มีสิวอักเสบ จากนั้นจึงค่อยลดลงเหลือสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง
ในเปลือกมังคุดจะมีสารสำคัญที่เรียกว่า GM – 1 ที่ช่วยระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และยังมีสาร Xanthone ช่วยต้านการอักเสบ รวมถึงสาร Tannin ที่ช่วยสมานแผลให้หายเร็วมากขึ้น
2 . มะนาวและมะเขือเทศ คั้นมะนาวสดให้ได้น้ำมะนาวปริมาณ 1 ช้อนชา ผสมกับเนื้อมะเขือเทศ 1 ลูกใหญ่ที่ผ่านการสับหรือปั่นให้ละเอียด ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที จึงค่อยล้างออกให้สะอาด หรืออาจจะใช้แค่เพียงมะเขือเทศก็ได้ และสามารถพอกหน้าได้ทุกวันอีกด้วย
เนื่องจากในมะเขือเทศมีสาร Licopersioin มีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และยังมีภาวะเป็นกรดอ่อนๆ ที่ไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย รวมถึงน้ำมะนาวที่อุดมไปด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ (Alpha Hydroxy Acids) ช่วยให้สิวอักเสบอ่อนตัวและทำให้หัวหนองเปิดเพื่อเอาหัวสิวออกมาได้ง่าย พร้อมกับสมานแผลให้สิวลดการอักเสบและยุบตัวเร็วขึ้น
3 . ว่านหางจระเข้ เพียงแค่ใช้ต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยใช้ใบล่างมาแช่น้ำ 10 – 15 นาที เพื่อนำเอายางสีเหลืองออก จากนั้นปอกเปลือกให้เหลือแต่วุ้นใสๆ แล้วล้างน้ำอีกครั้ง เพื่อเอายางสีเหลืองออกให้หมด จึงค่อยหั่นวุ้นใสเป็นชิ้นเล็กๆ ทาบริเวณสิวอักเสบวันละ 1 – 2 ครั้ง
เพราะในว่านหางจระเข้จะมีสารสำคัญที่ชื่อ Carboxypeptidase ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบและปวดบวม รวมถึงยังมีสาร Aloctin A ที่ช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน
4 . มะละกอ ใช้เนื้อมะละอกสุกผสมกับข้าวโอ๊ตบดและน้ำผึ้ง คนให้เป็นเนื้อครีมข้นๆ แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด โดยทำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง
โดยในเนื้อมะละกอสุกจะมีเอนไซม์ที่ชื่อ Papain และ Chymopapain ที่มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ จึงทำให้สิวอักเสบค่อยๆ ยุบตัวลงได้
5 . กระเทียม สำหรับสูตรแรกจะใช้กระเทียมกลีบใหญ่ปริมาณ 2 – 3 กลีบ บดหรือคั้นเอาแต่น้ำที่กรองเอากากออกแล้ว จากนั้นนำน้ำกระเทียมมาทาบริเวณที่เป็นสิวอักเสบและบริเวณรอบๆ ทิ้งไส้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกทันที เพราะถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้ผิวหนังของเราไหม้
ส่วนสูตรที่ 2 ให้ใช้น้ำกระเทียมปริมาณเท่าสูตรแรกผสมกับน้ำสายชูในปริมาณที่เท่ากัน จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วทาบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกทันทีเช่นกัน
ในกระเทียมจะมีสารสำคัญที่ชื่อ Alliin ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยต้านการอักเสบ จึงทำให้สิวอักเสบค่อยๆ ยุบตัวลงได้
6 . ขมิ้นชันกับปูนแดง ใช้ปูนแดงปริมาณ 1/2 ช้อนชา ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาป้ายที่หัวสิวทุกเช้า – เย็น โดยทำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง
ในขมิ้นชันอุดมไปด้วยสารสำคัญกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoids) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ ส่วนปูนแดงจะช่วยทำให้แผลสมานตัวเร็วยิ่งขึ้น
7 . หอมแดง ใช้หอมแดงจำนวน 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำหรือฝานเป็นแว่นบางๆ ทาบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด โดยสามารถทาได้ทุกวันจนกว่าสิวอักเสบจะยุบตัว แต่ถ้าไม่ชอบกลิ่นของหอมแดงก็ให้นำไปแช่เย็นจัดๆ เพื่อลดกลิ่นของหอมแดงให้น้อยลง
ในหอมแดงจะมีสารสำคัญที่ชื่อ Alliin ที่จะถูกแตกทำให้เปลี่ยนเป็นสาร Allicin และ Diallyl disulfide ซึ่งมีสรรพคุณช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8 . ตำลึง มีผลการวิจัยของแพทย์แผนไทยที่พบว่า ตำลึงมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบได้ดีกว่ามะระขี้นก ดังนั้นเราจึงใช้ต้นตำลึงปริมาณ 1 กำมือ มาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำสีเขียว จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วแปะบนสิวอักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที จึงค่อยล้างออกให้สะอาด และยังสามารถทำได้ทุกวัน
7 การดูแลตัวเองเพื่อรักษาสิว
ในตำลึงอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยลดรอยช้ำพร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง
1 . ดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ การขับถ่ายเป็นประจำทุกวันจะช่วยขับของเสียในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยทำให้สิวลดลงได้ เนื่องจากปริมาณสารพิษที่สะสมในร่างกายลดน้อยลงนั่นเอง
2 . ผ่อนคลายความตึงเครียด ความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น และยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อง่ายมากขึ้น รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย acnes ที่ก่อให้เกิดสิวด้วยเช่นกัน
3 . พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานเป็นปกติ เนื่องจากฮอร์โมนเป็นต้นเหตุของการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน หากฮอร์โมนทำงานแปรปรวนก็จะทำให้ไปกระตุ้นต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป และก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้
4 . ใช้ครีมแต้มสิว ครีมแต้มสิวจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ควรซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรควบคุม เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางชนิดเป็นยาที่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงและควรอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเราสามารถแบ่งครีมแต้มสิวอักเสบออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มสารสกัดจากธรรมชาติ ปัจจุบันมีการวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดจากธรรมชาติมากขึ้น อย่างเช่นครีมที่สกัดมาจากเปลือกมังคุด ซึ่งมีสรรพคุณในด้านการลดอักเสบ และไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา รวมถึงความเสี่ยงต่ออาการแพ้น้อยอีกด้วย
กลุ่มที่มีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เหมาะสำหรับสิวหัวหนองที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้ง P.acnes, Staphylococci หรือ Streptococci โดยควรต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการดื้อยาหรืออาการแพ้ยาที่สามารถก่อให้เกิดการอักเสบและบวมแดงได้
กลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ หรือที่เรียกกันว่า “เรตินอยด์” ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะช่วยลดการอักเสบและลดการขับน้ำมันส่วนเกิน จึงสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการอุดตันจากสิวได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อเสียตรงที่จะทำให้ผิวหนังแห้งระคายเคืองหรือลอกเป็นขุย
5 . ใช้ยาชนิดรับประทาน ยาที่ใช้รับประทานเพื่อรักษาสิวอักเสบสามารถช่วยลดการอักเสบได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
กลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาในกลุ่มนี้จะช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes รวมถึงเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ ซึ่งจะต้องให้แพทย์เป็นผู้คำนวณขนาดและชนิดของยาที่ใช้ เนื่องจากเมื่อรับประทานแล้วจะถูกนำมาทำลายที่ตับที่อาจจะก่อให้เกิดอาการตับอักเสบได้ ในบางรายอาจจะส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกันหรือทำลายไขกระดูก ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Amoxicillin, Clindamycin, Tetracycline หรือ Doxycycline
กลุ่มยาอนุพันธ์วิตามินเอ เรียกกันว่า Isotretinoin ซึ่งออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยาทากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ โดยจะออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P.acnes กลุ่มยาชนิดนี้จะขับออกทางตับที่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยากลุ่มนี้ส่งเสริมให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูงและทำให้เลือดออกง่าย จึงไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์
นอกจากนี้ยังมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ระหว่างทานยากลุ่มนี้อย่างเช่น ภาวะซึมเศร้า ตาแห้ง ปากแห้ง และทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้
6 . ใช้ยาชนิดฉีดเพื่อรักษาสิวอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้สิวอักเสบยุบตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อมรับวันสำคัญที่ใกล้จะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานรับปริญญา หรือแม้แต่การไปสมัครงาน โดยวิธีการรักษานั้นจะใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid) ฉีดเข้าไปในบริเวณสิวอักเสบ ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งวัน
ข้อดีของยาฉีดสิวอักเสบ ทำให้สิวยุบตัวลงอย่างรวดเร็วและป้องกันการเกิดหลุมสิว โดยที่ไม่ต้องรอให้สิวสุกแล้วเอาหนองออก
ข้อเสียของยาฉีดสิวอักเสบ การฉีดยาสเตียรอยด์ไม่สามารถทำให้สิวหายขาดได้ เนื่องจากไม่ใช่วิธีการรักษาที่ต้นเหตุนั่นเอง เพียงแต่ช่วยลดการอักเสบเท่านั้น โดยที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ดังนั้นจึงมีโอกาสจะกลับมาเป็นซ้ำบริเวณเดิมอีกได้เรื่อยๆ เพราะหัวสิวนั้นยังฝังตัวอยู่ลึกและกลายเป็นไตแข็งๆ และสามารถลุกลามหรืออักเสบมากขึ้น หากเครื่องมือที่ใช้มีความสะอาดไม่เพียงพอ
นอกจากนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากถ้าใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดยุบตัวลงไปด้วย กลายเป็นหลุมบนใบหน้าแทน แต่ถ้าฉีดน้อยเกินไปก็ไม่สามารถทำให้สิวยุบได้ทันใจ
7 . การใช้เลเซอร์ มีผลการวิจัยที่พบว่าเชื้อแบคทีเรีย acnes จะมีการสังเคราะห์เม็ดสีที่เรียกว่า “พอร์ไฟลิน” (Porphyrins) เมื่อใช้แสงเลเซอร์ยิงเข้าไปที่พอร์ไฟลิน ก็จะทำให้เชื้อแบคทีเรียนั้นตาย และพอแบคทีเรียมีปริมาณลดน้อยลง การอักเสบของสิวก็จะลดตามลงไปด้วย แต่การรักษาสิวด้วยวิธีนี้ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูงพอสมควร
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีใดที่สามารถรักษาสิวอักเสบให้หายขาดได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลผิวพรรณขั้นพื้นฐานอย่างเช่นการรักษาความสะอาด การรับประทานอาหาร และยังมีปัจจัยอื่นๆ
อย่างเช่นลักษณะผิวพรรณ ฮอร์โมน และกรรมพันธุ์ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีปัญหาสิวเกิดขึ้นกับตัวเรา ก็ไม่ควรไปซื้อยาทาหรือรับประทานเอง แต่ควรไปพบแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกร เพื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยลดจำนวนสิวที่มีให้น้อยลงได้ค่ะ
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ใบงานที่ 4
สรุป พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับล่าสุดได้มีการประกาศใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2560 ซึ่งเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับ 2
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คืออะไร
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าค่ะว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ที่กำลังจะพูดถึงนี้คืออะไร
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็คือพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ก็เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ตโฟน รวมถึงระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเป็นพ.ร.บ.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใครกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้
ปัจจุบันมีคนใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ตโฟนเป็นจำนวนมาก บางคนก็อาจจะใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ แต่บางคนก็อาจใช้สิ่งนี้ทำร้ายคนอื่นในทางอ้อมด้วยก็ได้
เราอาจจะได้ยินข่าวเรื่องการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ซึ่งบางเหตุการณ์ก็สร้างความเสียหายไม่น้อยเลย เพื่อจัดการกับเรื่องพวกนี้ เลยต้องมีพ.ร.บ.ออกมาควบคุม ในเมื่อการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวเรา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเราเช่นกัน หากเราไม่รู้เอาไว้ เราอาจจะเผลอไปทำผิด โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจก็ได้
กรณีศึกษา: การทำผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
เคสแรก เป็นเคสที่ออกข่าวอย่างโด่งดังเช่นกัน เป็นกรณีที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งถ่ายรูปตึกที่มีลักษณะเอนๆ พร้อมโพสต์ข้อความประมาณว่า ตึกทรุดตัว ลงบนเฟสบุ๊ค เลยทำให้เกิดเป็นประเด็นที่หลายเอาตกอกตกใจไปกันใหญ่ แต่ต่อมาก็มีการเปิดเผยว่า ตึกที่เห็นนั้นเป็นเพียงดีไซน์ของตึกที่ตั้งใจจะให้เอนแบบนั้นอยู่แล้ว เลยทำให้เจ้าของโพสต์ถูกตำรวจเรียกสอบสวน เพราะเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14
(2) นำข้อความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จก่อให้เกิดความตื่นตระหนก
อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็สามารถช่วยคุ้มครองผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตได้ด้วย อย่างเช่นกรณีคดีของคุณบริบูรณ์ เกียงวรางกูล ที่ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) จากการโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตำรวจเข้าค้นบ้าน โดยอ้างอำนาจตาม มาตรา 44
ซึ่งคุณบริบูรณ์ได้ยื่นหนังสือร้องความเป็นธรรมต่อศาลว่า ปัจจุบันได้มีการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 แล้ว โดยพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ยกเลิกข้อความใน มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับเดิม และบัญญัติใหม่ไว้ว่า ห้ามมิให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ลงโทษกับการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา จึงขอให้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ผลก็คือ อัยการศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีบริบูรณ์ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
8 เรื่องที่ห้ามทำ ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
1. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ (มาตรา 5-8)
หากเข้าไปเจาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของคนอื่น โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้อนุญาต (ละเมิด Privacy) หรือในเคสที่เรารู้จักกันดีก็คือ การปล่อยไวรัส มัลแวร์เข้าคอมพิวเตอร์คนอื่น เพื่อเจาะข้อมูลบางอย่าง หรือพวกแฮคเกอร์ ที่เข้าไปขโมยข้อมูลของคนอื่นก็มีความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
บทลงโทษ
- เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย: จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. แก้ไข ดัดแปลง หรือทำให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย (มาตรา 9-10)
ในข้อนี้จะรวมหมายถึงการทำให้ข้อมูลเสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือจะเป็นในกรณีที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อย่างเช่น กรณีของกลุ่มคนที่ไม่ชอบใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แล้วต่อต้านด้วยการเข้าไปขัดขวาง ทำร้ายระบบเว็บไซต์ของฝ่ายตรงข้าม ให้บุคคลอื่นๆ ใช้งานไม่ได้ ก็มีความผิด
บทลงโทษ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทลงโทษ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ส่งข้อมูลหรืออีเมลก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมลสแปม (มาตรา 11)
ข้อนี้ก็เข้ากับประเด็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือนักการตลาดที่ส่งอีเมลขายของที่ลูกค้าไม่ยินดีที่จะรับ หรือที่รู้จักกันว่า อีเมลสแปม หรือแม้แต่การฝากร้านตาม Facebook กับ IG ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและยังรวมถึงคนที่ขโมย Database ลูกค้าจากคนอื่น แล้วส่งอีเมลขายของตัวเอง
บทลงโทษ
ถ้าส่งโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และถ้าส่งโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธตอบรับได้โดยงาน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ (มาตรา 12)
โพสต์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือความมั่นคงต่อประเทศ หรือโพสต์ที่เป็นการก่อกวน หรือการก่อการร้ายขึ้น ก็มีความผิดค่ะ เพราะมาตรา 12 ได้บอกไว้ว่าการเข้าถึงระบบหรือข้อมูลทางด้านความมั่งคงโดยมิชอบ หรือการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ที่เข่าข่ายข้อมูลเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือทำให้ประชาชนเกิดอาการตื่นตระหนก และล่วงรู้ถึงมาตรการการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย
บทลงโทษ
- กรณีไม่เกิดความเสียหาย: จำคุก 1-7 ปี และปรับ 2 หมื่น – 1.4 แสนบาท
- กรณีเกิดความเสียหาย: จำคุก 1-10 ปี และปรับ 2 หมื่น – 2 แสนบาท
- กรณีเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: จำคุก 5-20 ปี และปรับ 1 แสน – 4 แสนบาท
5. จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด (มาตรา 13)
- กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 5-11 (หรือข้อ 1-3 ในบทความนี้) ต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
- กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 12 ต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
6. นำข้อมูลที่ผิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (มาตรา 14)
จาก:https://contentshifu.com/wp-content/uploads/2018/04/Facebook-Spot-Fales-News-Tips-1-4-758x434.jpg
ในความผิดมาตรา 14 จะระบุโทษการนำข้อมูลที่เปิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ข้อความผิดด้วยกันคือ
- โพสต์ข้อมูลปลอม ทุจริต หลอกลวง (อย่างเช่น ข่าวปลอม โฆษณาธุรกิจลูกโซ่ที่หลอกลวงเอาเงินลูกค้า และไม่มีการส่งมอบของให้จริงๆ เป็นต้น)
- โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่งคงปลอดภัย
- โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย
- โพสต์ข้อมูลลามก ที่ประชาชนเข้าถึงได้
- เผยแพร่ ส่งต่อข้อมูล ที่รู้แล้วว่าผิด (อย่างเช่น กด Share ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็มีความผิด )
บทลงโทษ
หากเป็นการกระทำที่ส่งผลถึงประชาชน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อบุคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (แต่ในกรณีอย่างหลังนี้สามารถยอมความกันได้)
7. ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทำความผิด (มาตรา 15)
กรณีนี้ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็เช่น เพจต่างๆ ที่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็น แล้วมีความคิดเห็นที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายก็มีความผิด แต่ถ้าหากแอดมินเพจตรวจสอบแล้วพบเจอ และลบออก จะถือว่าเป็นผู้ที่พ้นความผิด
บทลงโทษ
แต่ถ้าไม่ยอมลบออกต้องได้รับโทษ ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามมาตร 14 ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกันผู้โพสต์ หรือแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ แต่ถ้าผู้ดูแลระบบพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการแจ้งเตือนแล้วไม่ต้องรับโทษ
8. ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงภาพ (มาตรา 16)
ความผิดข้อนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลักคือ
• การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้าง ตัดต่อ หรือดัดแปลง ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อย่างเช่นกรณีที่เอาภาพดาราไปตัดต่อ และตกแต่งเรื่องขึ้นมา จนทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย ก็ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
• การโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต หากเป็นการโพสต์ที่ทำให้บิดามารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย
บทลงโทษ
หากทำผิดตามนี้ ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
สรุป
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือฉบับที่ 2 ปัจจุบันมีผลบังคับใช้แล้ว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่คลุกคลีกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรืออินเตอร์เน็ต ก็ควรจะรู้เกี่ยวกับพ.ร.บ.นี้ไว้ เพราะเราจะได้ไม่เผลอไปทำความผิด อย่างน้อยๆ ต้องระวัง 8 ประเด็นที่เราได้เขียนเอาไว้เลย อีกทั้งการมีพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับหนึ่ง และในทางหนึ่งก็ช่วยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้งานด้วย
ขอบคุณข้อมูล จาก:https://contentshifu.com/computer-law/
วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ใบงานที่ 3
Blog
วิธี การสร้างบล๊อก ด้วย blogspot
1.ให้เราทำการพิมพ์ในช่อง URL ด้านบนว่า www.blogspot.com หรือการเข้าสู่เว็บ blogspot นั้นเอง ตามภาพด้านบน
2.ก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้เราทำการล๊อกอินเข้าไป โดยใช้ Gmail ของเรา
3.พอทำการล๊อกอินเสร็จก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บล๊อกใหม่
4.พอมาถึงหน้านี้
– ในช่องหัวข้อ ให้เราทำการตั้งชื่อหัวข้อของบล๊อกของเรา(เรื่องที่เราจะเขียนบล๊อก หรือ Title)
– ในช่องที่อยู่ ให้เราทำการตั้งชื่อ URL ของเรา อาทิเช่น gunoob.blogspot.com , cnx-it.blogspot.com เป็นต้น (.blogspot.com จะมาการเติมให้โดยอัตโนมัติ ให้พิมพ์แค่ gunoob หรือ cnx-it)
– ในช่องแม่แบบ ให้เราทำการเลือก รูปแบบของบล๊อกหรือ Theme นั้นเอง (แนะนำให้ใช้แบบง่าย ธีมสามารถเปลี่ยนภายหลังได้)
5.จะได้อกมาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกเข้าไปเลย (ของผมได้ทำการสร้างใว้ก่อนแล้ว)
6.จะได้หน้าต่างเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บมความใหม่ เพื่อทำการเขียนบทความหรือ blog
7.พอได้หน้าตาแบบนี้ให้เราทำการเขียนบล๊อก หรือบทความที่เราต้องการได้เลย
– ในช่องโพสต์ด้านบนตัวหนังสือสีส้ม ให้เราทำการเขียนหัวข้อหรือหัวเรื่อง บทความที่เราต้องการเขียน
– การเขียนบทความ ข้อมูล หรือบล๊อกนั้นสามารถทำการเขียนได้ใช้ กระดาษ ตรงกลางหน้า
– ด้านขวามือจะมีป้ายกำกับ ให้เราทำการคลิกเพื่อพิมพ์ คำ ที่ผู้อื่นสามารถค้นบทความของเราเจอได้
– การใส่ลิ้งให้ทำการคลิกที่ ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ เพื่อทำการใส่ URL ที่เราต้องการลิ้ง
– การใส่รูปภาพ สามารถทำได้โดยการคลิกที่ แทกรูปภาพ ด้านขวา ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ แล้วทำการเลือกไฟล์เพื่ออัพโหลดรูปภาพแล้ว คลิกรูปภาพที่ต้องการเลือก แล้วกดเพิ่มรายการที่เลือก
– ถ้าทำการเขียนบทความเสร็จ ให้ทำการคลิกที่ เผยแพร่ เพื่อทำการเผยแพร่บทความที่สามารถให้ผู้อื่นได้อ่าน หรือเข้าชมได้
8.การเปลี่ยนธีม ตามที่เราต้องการ ให้ทำการคลิกที่ แม่แบบ จะมีให้เราเลือกธีมตามที่เราต้องการ ถ้าจะเอาอันไหนให้ทำการคลิก แล้วกด ใช้กับบล๊อก(ปุ่มสีส้ม)เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ (ธีมเราสามารถออกแบบเองและทำเองตามที่เราต้องการได้)
คลิป
จาก https://www.youtube.com/watch?v=vNXE446n8nw&t=1s
จาก https://www.youtube.com/watch?v=RczXWKJbw70
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์
Pimpleeeeeeee from Laksika Butkaeo
-
สรุป พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จาก: https://ictlawcenter.etda.or.th/files/news/image/150/94abed177dddfb54d5a0cd97446bd54e.jpg พ.ร....
-
Blog ที่มา https://www.blogger.com/about/img/social/facebook-1200x630.jpg วิธี การสร้างบล๊อก ด้วย blogspot 1.ให้เราทำการพ...